LANGUAGE
  • LANGUAGE
  • ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ภัยเงียบอันตรายที่คุณอาจมองข้าม!

    ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ภัยเงียบอันตรายที่คุณอาจมองข้าม!

    “ทำไมฉันผอมแต่มีพุง?” “ทำไมออกกำลังกายลดความอ้วนทุกวัน แต่พุงไม่ยุบสักที?” นี่คือคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัย คงไม่มีใครอยากมีพุงยื่น หรือมีไขมันส่วนเกิน แต่รู้หรือไม่ว่า ไขมันในช่องท้อง หรือที่หมอเรียกว่า visceral fat คือไขมันที่อันตรายที่สุด เพราะมันแอบซ่อนตัวอยู่ลึกๆ ในร่างกายของเรา แถมยังเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงหลายชนิด

    วันนี้เราจะมาไขความลับของ “ไขมันในช่องท้อง” หรือที่หมอเรียกว่า visceral fat คือไขมันแอบแฝงที่อาจกำลังทำร้ายสุขภาพของคุณอยู่โดยไม่รู้ตัว

    รู้จักกับ “ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)” ศัตรูตัวร้ายของร่างกายคุณ

    รู้จักกับ “ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)” ศัตรูตัวร้ายของร่างกายคุณ

    ความอ้วนแบบธรรมดากับไขมันในช่องท้องต่างกันอย่างไร? ไขมันในช่องท้องคือไขมันที่สะสมอยู่ลึกกว่าชั้นผิวหนังและกล้ามเนื้อ โดยจะแทรกซึมอยู่ตามอวัยวะสำคัญในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ และกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งต่างจากไขมันใต้ผิวหนังที่เราสามารถจับหรือบีบได้

    ความอันตรายของไขมันชนิดนี้อยู่ที่มันสามารถปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง ทำให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย และรบกวนการทำงานของฮอร์โมนหลายชนิด โดยเฉพาะอินซูลินที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ ไขมันในช่องท้องยังกดทับอวัยวะภายใน ทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ ผิดปกติไป จึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงหลายชนิด

    สาเหตุของการเกิดไขมันช่องท้องคืออะไร?

    สาเหตุของการเกิดไขมันช่องท้องคืออะไร?

    เมื่อร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ พลังงานส่วนเกินเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม โดยเฉพาะในช่องท้อง ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสองปัจจัยสำคัญ

    1. การรับประทานอาหาร ร่างกายจะเปลี่ยนอาหารที่มีพลังงานสูงเหล่านี้เป็นไขมันสะสม ได้แก่

    • อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารทอด ของมัน
    • ของหวาน น้ำตาล โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสในเครื่องดื่ม
    • อาหารแปรรูปที่มีแป้งและไขมันสูง
    • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ชานมไข่มุก

    2. พฤติกรรมการใช้ชีวิต วิถีชีวิตที่ใช้พลังงานน้อย ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันลดความอ้วนได้ไม่ดี ได้แก่

    • ขาดการออกกำลังกาย ทำให้เผาผลาญพลังงานต่ำ
    • นั่งนาน ๆ ไม่ค่อยเคลื่อนไหว
    • นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการเผาผลาญ
    • มีความเครียดสะสม ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่เก็บสะสมไขมัน

    วิธีตรวจสอบว่าคุณมีไขมันช่องท้องมากเกินไปหรือไม่?

    วิธีตรวจสอบว่าคุณมีไขมันช่องท้องมากเกินไปหรือไม่?

    ไขมันในช่องท้องถือเป็นภัยเงียบที่เราอาจมองไม่เห็นจากภายนอก แต่เราสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ โดยใช้วิธีที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยอมรับ ดังนี้

    1. การวัดรอบเอว

    • วิธีวัด: ยืนตรง ใช้สายวัดวัดรอบเอวบริเวณสะดือ โดยวัดในช่วงหายใจออก ไม่เกร็งหน้าท้อง
    • ค่าที่เกินมาตรฐาน:
      • ผู้ชาย: ไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร
      • ผู้หญิง: ไม่ควรเกิน 80 เซนติเมตร
    • ข้อควรระวัง: ไม่ควรวัดหลังรับประทานอาหารทันที และไม่รัดสายวัดแน่นเกินไป

    2. อัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก

    • วิธีวัด:
      1. วัดรอบเอวตามวิธีข้างต้น
      2. วัดรอบสะโพกบริเวณที่กว้างที่สุด (มักเป็นบริเวณก้น)
      3. นำตัวเลขรอบเอวหารด้วยรอบสะโพก
    • ตัวอย่าง: รอบเอว 75 ซม. ÷ รอบสะโพก 90 ซม. = 0.83
    • ค่าที่ปลอดภัย:
      • ผู้ชาย: ไม่ควรเกิน 0.95
      • ผู้หญิง: ไม่ควรเกิน 0.80

    หากคุณพบว่าค่าที่วัดได้เกินมาตรฐาน ไม่ต้องตกใจ เพราะไขมันช่องท้องสามารถลดลงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต แต่ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมต่อไป

    อันตรายที่แอบแฝงมากับไขมันในช่องท้อง

    อันตรายที่แอบแฝงมากับไขมันในช่องท้อง

    ไขมันช่องท้องไม่ได้แค่ทำให้ดูอ้วน แต่ยังเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรงมากมาย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเมตาบอลิซึมและการทำงานของอวัยวะสำคัญ ดังนี้

    1. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ไขมันในช่องท้องจะปล่อยสารที่ทำให้เซลล์ต่อต้านฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้อินซูลินที่ร่างกายผลิตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เซลล์จึงไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้

    2. โรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันในช่องท้องส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

    3. ไขมันพอกตับ ตับจะได้รับผลกระทบโดยตรงเพราะอยู่ใกล้กับไขมันในช่องท้องมากที่สุด

    4. โรคระบบหายใจ ไขมันที่สะสมในช่องท้องจะส่งผลต่อระบบหายใจอย่างชัดเจน

    วิธีลดไขมันช่องท้อง

    วิธีลดไขมันช่องท้อง

    การลดไขมันในช่องท้องต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความสม่ำเสมอ ไม่มีวิธีลัดหรือยาวิเศษใดที่จะช่วยลดได้อย่างรวดเร็ว การลดความอ้วน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตทั้งหมดนี้ต้องทำควบคู่กันไปเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

    1. ควบคุมอาหาร การควบคุมอาหารไม่ได้หมายถึงการอดอาหาร แต่เป็นการเลือกรับประทานอย่างฉลาด

    2. ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพต้องผสมผสานทั้งการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและการสร้างกล้ามเนื้อ

    3. ปรับสุขนิสัยการนอน การนอนที่มีคุณภาพส่งผลโดยตรงต่อการเผาผลาญไขมัน

    4. จัดการความเครียด ความเครียดเรื้อรังทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ส่งเสริมการสะสมไขมัน

    สิ่งสำคัญคือต้องมีความอดทนและให้เวลากับร่างกายในการปรับตัว การเปลี่ยนแปลงจะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนถ้าทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ไม่ควรคาดหวังผลลัพธ์เร็วเกินไป เพราะอาจนำไปสู่ความท้อแท้และล้มเลิกกลางคัน

    สรุป

    ไขมันในช่องท้องเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม แม้จะมองไม่เห็นจากภายนอก แต่ผลกระทบต่อสุขภาพนั้นรุนแรง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตตั้งแต่วันนี้ จะช่วยลดความเสี่ยง ลดความอ้วน และทำให้มีสุขภาพที่ดีในระยะยาว

    โปรแกรม Sliming LISA ของ Chuladoctor Clinic เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่อยากลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีและปลอดภัย โดยเน้นการปรับสมดุลการทำงานของระบบเผาผลาญให้ดีขึ้นในระดับเซลล์ ผ่านการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์เฉพาะทาง ช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักแบบยั่งยืน ได้สุขภาพดีควบคู่ไปกับหุ่นที่กระชับสมใจ ใครที่เคยลองวิธีอื่นๆ แล้วไม่เห็นผล หรืออยากได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม ลองปรึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Chuladoctor Clinic เลย

    อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใดในการจัดการกับไขมันในช่องท้อง สิ่งสำคัญที่สุดคือการลงมือทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพราะสุขภาพที่ดีไม่ได้มาจากการรักษาเมื่อป่วย แต่มาจากการดูแลตัวเองตั้งแต่ยังแข็งแรง

    CHULA DOCTOR

    WELLNESS

    Chuladoctor ผู้นำด้านความงามและสุขภาพ ที่ช่วยต้านความเสื่อมด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย เรามอบการดูแลที่ครอบคลุมตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก เพื่อให้คุณคงความอ่อนเยาว์และสุขภาพดีในทุกช่วงวัย ให้กาลเวลาไม่สามารถทำลายความงามและพลังแห่งสุขภาพของคุณได้อีกต่อไป

    facebooklinephoneigmail

    ให้การดูแลสุขภาพและความงามเป็นเรื่องง่ายที่ Chuladoctor ที่ซึ่งการต้านความเสื่อมกลายเป็นความจริง เพื่อให้คุณสวยและสุขภาพดีในทุกช่วงเวลา