“ทำไมฉันผอมแต่มีพุง?” “ทำไมออกกำลังกายลดความอ้วนทุกวัน แต่พุงไม่ยุบสักที?” นี่คือคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัย คงไม่มีใครอยากมีพุงยื่น หรือมีไขมันส่วนเกิน แต่รู้หรือไม่ว่า ไขมันในช่องท้อง หรือที่หมอเรียกว่า visceral fat คือไขมันที่อันตรายที่สุด เพราะมันแอบซ่อนตัวอยู่ลึกๆ ในร่างกายของเรา แถมยังเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงหลายชนิด
วันนี้เราจะมาไขความลับของ “ไขมันในช่องท้อง” หรือที่หมอเรียกว่า visceral fat คือไขมันแอบแฝงที่อาจกำลังทำร้ายสุขภาพของคุณอยู่โดยไม่รู้ตัว
รู้จักกับ “ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)” ศัตรูตัวร้ายของร่างกายคุณ

ความอ้วนแบบธรรมดากับไขมันในช่องท้องต่างกันอย่างไร? ไขมันในช่องท้องคือไขมันที่สะสมอยู่ลึกกว่าชั้นผิวหนังและกล้ามเนื้อ โดยจะแทรกซึมอยู่ตามอวัยวะสำคัญในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ และกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งต่างจากไขมันใต้ผิวหนังที่เราสามารถจับหรือบีบได้
ความอันตรายของไขมันชนิดนี้อยู่ที่มันสามารถปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง ทำให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย และรบกวนการทำงานของฮอร์โมนหลายชนิด โดยเฉพาะอินซูลินที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ ไขมันในช่องท้องยังกดทับอวัยวะภายใน ทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ ผิดปกติไป จึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงหลายชนิด
สาเหตุของการเกิดไขมันช่องท้องคืออะไร?

เมื่อร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ พลังงานส่วนเกินเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม โดยเฉพาะในช่องท้อง ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสองปัจจัยสำคัญ
1. การรับประทานอาหาร ร่างกายจะเปลี่ยนอาหารที่มีพลังงานสูงเหล่านี้เป็นไขมันสะสม ได้แก่
- อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารทอด ของมัน
- ของหวาน น้ำตาล โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสในเครื่องดื่ม
- อาหารแปรรูปที่มีแป้งและไขมันสูง
- เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ชานมไข่มุก
2. พฤติกรรมการใช้ชีวิต วิถีชีวิตที่ใช้พลังงานน้อย ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันลดความอ้วนได้ไม่ดี ได้แก่
- ขาดการออกกำลังกาย ทำให้เผาผลาญพลังงานต่ำ
- นั่งนาน ๆ ไม่ค่อยเคลื่อนไหว
- นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการเผาผลาญ
- มีความเครียดสะสม ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่เก็บสะสมไขมัน
วิธีตรวจสอบว่าคุณมีไขมันช่องท้องมากเกินไปหรือไม่?

ไขมันในช่องท้องถือเป็นภัยเงียบที่เราอาจมองไม่เห็นจากภายนอก แต่เราสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ โดยใช้วิธีที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยอมรับ ดังนี้
1. การวัดรอบเอว
- วิธีวัด: ยืนตรง ใช้สายวัดวัดรอบเอวบริเวณสะดือ โดยวัดในช่วงหายใจออก ไม่เกร็งหน้าท้อง
- ค่าที่เกินมาตรฐาน:
- ผู้ชาย: ไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร
- ผู้หญิง: ไม่ควรเกิน 80 เซนติเมตร
- ข้อควรระวัง: ไม่ควรวัดหลังรับประทานอาหารทันที และไม่รัดสายวัดแน่นเกินไป
2. อัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก
- วิธีวัด:
- วัดรอบเอวตามวิธีข้างต้น
- วัดรอบสะโพกบริเวณที่กว้างที่สุด (มักเป็นบริเวณก้น)
- นำตัวเลขรอบเอวหารด้วยรอบสะโพก
- ตัวอย่าง: รอบเอว 75 ซม. ÷ รอบสะโพก 90 ซม. = 0.83
- ค่าที่ปลอดภัย:
- ผู้ชาย: ไม่ควรเกิน 0.95
- ผู้หญิง: ไม่ควรเกิน 0.80
หากคุณพบว่าค่าที่วัดได้เกินมาตรฐาน ไม่ต้องตกใจ เพราะไขมันช่องท้องสามารถลดลงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต แต่ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมต่อไป
อันตรายที่แอบแฝงมากับไขมันในช่องท้อง

ไขมันช่องท้องไม่ได้แค่ทำให้ดูอ้วน แต่ยังเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรงมากมาย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเมตาบอลิซึมและการทำงานของอวัยวะสำคัญ ดังนี้
1. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ไขมันในช่องท้องจะปล่อยสารที่ทำให้เซลล์ต่อต้านฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้อินซูลินที่ร่างกายผลิตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เซลล์จึงไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้
2. โรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันในช่องท้องส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
3. ไขมันพอกตับ ตับจะได้รับผลกระทบโดยตรงเพราะอยู่ใกล้กับไขมันในช่องท้องมากที่สุด
4. โรคระบบหายใจ ไขมันที่สะสมในช่องท้องจะส่งผลต่อระบบหายใจอย่างชัดเจน
วิธีลดไขมันช่องท้อง

การลดไขมันในช่องท้องต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความสม่ำเสมอ ไม่มีวิธีลัดหรือยาวิเศษใดที่จะช่วยลดได้อย่างรวดเร็ว การลดความอ้วน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตทั้งหมดนี้ต้องทำควบคู่กันไปเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
1. ควบคุมอาหาร การควบคุมอาหารไม่ได้หมายถึงการอดอาหาร แต่เป็นการเลือกรับประทานอย่างฉลาด
2. ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพต้องผสมผสานทั้งการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและการสร้างกล้ามเนื้อ
3. ปรับสุขนิสัยการนอน การนอนที่มีคุณภาพส่งผลโดยตรงต่อการเผาผลาญไขมัน
4. จัดการความเครียด ความเครียดเรื้อรังทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ส่งเสริมการสะสมไขมัน
สิ่งสำคัญคือต้องมีความอดทนและให้เวลากับร่างกายในการปรับตัว การเปลี่ยนแปลงจะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนถ้าทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ไม่ควรคาดหวังผลลัพธ์เร็วเกินไป เพราะอาจนำไปสู่ความท้อแท้และล้มเลิกกลางคัน
สรุป
ไขมันในช่องท้องเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม แม้จะมองไม่เห็นจากภายนอก แต่ผลกระทบต่อสุขภาพนั้นรุนแรง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตตั้งแต่วันนี้ จะช่วยลดความเสี่ยง ลดความอ้วน และทำให้มีสุขภาพที่ดีในระยะยาว
โปรแกรม Sliming LISA ของ Chuladoctor Clinic เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่อยากลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีและปลอดภัย โดยเน้นการปรับสมดุลการทำงานของระบบเผาผลาญให้ดีขึ้นในระดับเซลล์ ผ่านการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์เฉพาะทาง ช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักแบบยั่งยืน ได้สุขภาพดีควบคู่ไปกับหุ่นที่กระชับสมใจ ใครที่เคยลองวิธีอื่นๆ แล้วไม่เห็นผล หรืออยากได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม ลองปรึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Chuladoctor Clinic เลย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใดในการจัดการกับไขมันในช่องท้อง สิ่งสำคัญที่สุดคือการลงมือทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพราะสุขภาพที่ดีไม่ได้มาจากการรักษาเมื่อป่วย แต่มาจากการดูแลตัวเองตั้งแต่ยังแข็งแรง